น้ำหอมขวดเดียวกัน ทำไมเวลาใช้แล้วกลิ่นไม่เหมือนกัน?

นำหอมขวดเดยวกน ทำไมเวลาใชแลวกลนไมเหมอนกน

น้ำหอมขวดเดียวกัน ทำไมเวลาใช้แล้วกลิ่นไม่เหมือนกัน?

หลายคนอาจได้กลิ่นน้ำหอมจากเพื่อนแล้วชอบก็เลยไปซื้อมาใช้บ้าง หรือแม้กระทั่งเวลาลองดมกลิ่นน้ำหอมที่ฉีดมาบนกระดาษแล้วชอบใจเลยตัดสินใจซื้อมา แต่พอมานำมาใช้จริงๆกับตัวเอง กลิ่นน้ำหอมกลับเปลี่ยนไป ไม่หอมเหมือนตอนที่ได้กลิ่นจากเพื่อน หรือกลิ่นไม่เหมือนกลับตอนลองในร้านขายน้ำหอม น้ำหอมขวดเดียวกัน กลิ่นเดียวกัน ทำไมเวลาแต่ละคนใช้แล้วกลิ่นที่ได้ออกมาไม่เหมือนกัน?  

การที่กลิ่นน้ำหอมเปลี่ยนไปเช่นนี้ มันมีอยู่ 2 เหตุผลหลักๆที่พอจะอธิบายได้

ประการแรกคือ ระดับความหอม

ในน้ำหอมแต่ละขวดนั้น เมื่อนำมาฉีดบนกระดาษหรือตัวเรา มันจะมีการเปลี่ยนระดับของกลิ่น เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งกลิ่นในระดับต่างๆของน้ำหอมนั้นเรียกว่า “Note” เหมือนกับตัวโน๊ตในดนตรี ในน้ำหอม 1 ขวดจะมีถึง 3 โน๊ตด้วยกัน และยังมีหัวน้ำหอมหลากหลายกลิ่นที่ผสมผสานกันในโน๊ตในแต่ระดับ เช่น « Top Notes » จะเป็นกลิ่นแรกที่หอมระเหยออกมาจากน้ำหอม โดยกลิ่นนี้จะหอมอยู่นานในช่วง 10-15 นาที จากนั้นกลิ่นของโน๊ตตัวต่อไปที่เรียกว่า « Middle Notes » เริ่มระเหยส่งกลิ่นหอมออกมา โดยระดับกลิ่น  Middle Notes จะอยู่นาน 2-3 ชั่วโมงแล้วจะค่อยเปลี่ยนไปโน๊ตตัวสุดท้ายของน้ำหอม เรียกว่า « Base Notes » ติดนานคงทน 4-6 ชั่วโมงส่วนมากเป็นกลิ่นเรียบๆไม่หวือหวาเหมือนกับโน๊ตระดับแรก แต่เป็นกลิ่นน้ำหอมที่สำคัญที่จะทำให้น้ำหอมบนตัวแต่ละคนกลิ่นไม่เหมือนกัน

ประการที่สองคือ Body Chemistry 

สาเหตุสำคัญที่มีผลต่อกลิ่นน้ำหอมมากที่สุดก็คือ กลิ่นตัวผู้ใช้น้ำหอมแต่ละคน หรือที่เรียกว่า Body Chemistry โดยแต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งเจ้า Body Chemistry นี่เองที่จะไปทำปฎิกิริยาหรือผสมผสานเข้า กลิ่นหอมในช่วงปลายๆของระดับ Base Notes หรือที่เรียกว่า “Bridge” ซึ่งจะเป็นกลิ่นที่มีความอ่อนไหวมาก เมื่อผสมเข้ากับกลิ่นธรรมชาติในร่างกายของแต่ละคน แล้วได้กลิ่นใหม่ออกเฉพาะตัวออกมา ซึ่งเปรียบเสมือนกับลายเซนต์ของคนๆนั้น 

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เราอุตส่าห์จดชื่อน้ำหอมจากเพื่อนมาอย่างดี แต่พอซื้อมาใช้บ้าง ทำไมกลิ่นถึงไม่เหมือนกัน ขนาดเวลาที่เราฉีดมันลงไปบนกระดาษแล้วทิ้งไว้ซักพัก กลิ่นของน้ำหอมยังเปลี่ยนไปเลย แล้วนี่ยังมี Body Chemistry เข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งทำให้ กลิ่นที่ได้ออกมาไม่เหมือนกันมากเข้าไปอีก 

ความแตกต่างระหว่าง ผู้ชายกับผู้หญิง หรือประเภทของผิวอย่างผิวแห้งหรือผิวมัน ก็ล้วนแต่มีผลต่อกลิ่นของน้ำหอมทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายซึ่งร่างกายมีความอบอุ่นมากกว่าผู้หญิงก็จะทำให้น้ำหอมนั้นกระจายตัวส่งกลิ่นหอมได้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าน้ำหอมสำหรับผู้ชายมักจะเป็นประเภท โอเดอทัวเล็ตต์ ซึ่งมีปริมาณหัวน้ำหอมน้อยกว่าผู้หญิง คนที่มีผิวมันก็จะค่อนข้างได้เปรียบคนผิวแห้งเพราะน้ำหอมจะส่งกลิ่นหอมได้มากกว่า

หรือแม้กระทั่งตัวของเราเอง ในบางครั้งที่ไม่สบายกลิ่นตัวตามธรรมชาติก็เปลี่ยนไปได้เช่นกัน น้ำหอมที่เหมาะสำหรับแต่ละคนในฤดูร้อนกับฤดูหนาวก็ต่างกัน เช่นฤดูร้อนกลิ่นตัวตามธรรมชาติก็จะมีมากก็ควรใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆสดชื่นอย่างพวกตระกูลส้ม มะนาว หรือดอกไม้ ส่วนน้ำหอมที่มีส่วนผสมกลิ่นเครื่องเทศก็อาจจะรู้สึกว่าฉุนได้เหมาะสำหรับเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวจะเวิร์คกว่า

เทคนิคเล็กๆน้อยๆในการใช้น้ำหอมให้ติดทนนาน

คนที่มีผิวแห้งควรบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นก่อนค่อยฉีดน้ำหอมลงไป ควรใช้สบู่ บอดี้โลชั่นกลิ่นเดียวกัน กลิ่นจะได้ไม่ไปขัดกันกับน้ำหอมที่ใช้ หรืออาจจะใช้บอดี้โลชั่นแบบไม่มีกลิ่น อย่างเช่นเบบี้ออยส์ บางคนอาจจะใช้ปิโตรเลี่ยมเจลอย่างวาสลีน ทาบางๆบริเวณที่จะฉีดน้ำหอมก่อน แล้วค่อยฉีดน้ำหอมลงไป 

การฉีดน้ำหอม ควรฉีดตามร่างกาย ไม่ใช่บนเสื้อผ้าเพราะอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบเปื้อนได้ และที่สำคัญร่างกายของคนเรานั้นมีความอบอุ่นซึ่งจะช่วยทำให้น้ำหอมนั้นกระจายตัว ส่งกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตามชีพจรอย่างข้อมือ ข้อพับ หรือแม้กระทั่งข้อเท้า ระวังอย่าฉีดมากเกินไปนะคะ แค่ 2-3 สเปรย์ก็พอ

ตัวหอมแล้วผมหอมด้วยจะยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ แต่หลายคนอาจกลัวแอลกอฮอล์ในน้ำหอมที่อาจเป็นอันตรายต่อเส้นผมหากฉีดลงไปตรง วิธีก็คือ ฉีดน้ำหอมไปในอากาศ แล้วเดินผ่านให้น้ำหอมนั้นติดเส้นผมคุณ แค่นี้กลิ่นน้ำหอมก็จะหอมฟุ่งกระจายออกมาเวลาที่ผมปลิวไหวไปตามลม 

เราก็ได้ทราบแล้วนะคะว่าน้ำหอมกลิ่นเดียวกัน ทำไมเวลาแตะคนใช้แล้วกลิ่นที่ออกมา ทำไมมันถึงไม่เหมือนกัน ดังนั้นอย่าตัดสินสินใจซื้อน้ำหอมเพราะกลิ่นหอมบนกระดาษ หรือกลิ่นที่หอมออกมาจากตัวเพื่อน ควรลองฉีดลงไปที่ผิวแล้วทิ้งไว้ซักพัก แล้วดูว่ามันเข้ากับ Body Chemistry ในตัวเราได้ดีหรือเปล่า