อาถรรพ์วันศุกร์ที่ 13 ที่มาของความเชื่อศุกร์ที่ 13

อาถรรพวนศกรท 13 ทมาของความเชอศกรท 13

อาถรรพ์วันศุกร์ที่ 13 ที่มาของความเชื่อศุกร์ที่ 13 มีอาถรรพ์

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง อาถรรพ์วันศุกร์ที่ 13 มีมาตั้งแต่สมัยยุคกลางของคนที่อยู่ประเทศในแถบยุโรป โดยในสมัยนั้นชาวยุโรปถือกันว่าวันศุกร์เป็นวันของปีศาจ และยังถูกกำหนดให้เป็นวันประหารนักโทษอีกด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดเป็นความเชื่อในอาถรรพ์ของวันศุกร์ที่ 13 ขึ้นกับชาวยุโรปบางคน อาคารหรือโรงแรมในยุโรปหลายแห่งนั้นจะไม่มีห้องเลขที่ 13 หรือ ชั้นที่ 13 แต่จะใช้เป็น 12A แทน ลองสังเกตุดูจากลิฟท์ก็ได้บางอาคารจะไม่มีชั้น 13 นอกจากนี้แล้วหากมีศุกร์ไหน ที่ตรงกับวันที่ 13 ชาวประมงในสมัยโบราณก็จะไม่ออกเรือกัน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดภัยอันตรายขึ้นได้ แล้วจริงๆ แล้วตำนานความเชื่ออาถรรพ์ของศุกร์ที่ 13 นั้นมีที่มาอย่างไรกันแน่นะ ตามไปดูกันเลย

ตำนานของ อาถรรพ์วันศุกร์ที่ 13 

จริงๆ แล้วมีที่มาจากวันนั้น เป็นวันสิ้นประชนม์ของพระเยซู ซึ่งเป็นพระศาสดาของศาสนาคริสต์ โดยเป็นวันที่พระเยซูถูกตรึงบนกางเขนและถูกทรมาณจนสิ้นประชนม์นั้นก็เป็นวันศุกร์ ส่วนที่มาของเลข 13 ก็มีที่มาจากอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ เนื่องจากมื้อนั้นในการรับประทานอาหารนั้นมีผู้เข้าร่วมรับประทานอาหารด้วยกันทั้งหมด 13 คน ในระหว่างการรับประทานอาหารค่ำอยู่นั้น ก็มีหนึ่งในสาวกที่มีชื่อว่า ยูดาส อิสคาริโอท ผละออกไปเพื่อไปนำกองทหารโรมันมาจับกุมพระองค์ หลังจากการไตร่สวน พรองค์ก็ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ แล้วก็ถูกนำไปทรมาน จากนั้นพระเยซูก็ถูกตึงไว้บนไม้กางเขนจนสิ้นประชนม์ในที่สุด

Jesus the 13th

นอกจากนี้แล้วเลข 13 ยังมีความเกี่ยวพันธ์กับตำนานของชาวนอร์ส ซึ่งตำนานนี้เป็นตำนานที่แพร่หลายในดินแดนแถบยุโรป โดยมีเรื่องเหล่าว่า ครั้งหนึ่ง เอกีร์ ซึ่งเป็นเทพแห่งมหาสมุทรได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่ปราสาทของพระองค์ และได้เชิญเทพอีก 11 องค์เพื่อให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ แต่ว่ากลับมีเทพอสูรที่มีชื่อว่า โลกิ เข้ามาร่วมงานด้วยโดยที่ไม่ได้รับเชิญ จึงทำให้งานเลี้ยงในครั้งนี้มีทั้งหมด 13 คนพอดี และในงานเลี้ยงครั้งนี้ได้มีการจัดการละเล่นพิเศษขึ้นอย่างหนึ่งก็คือ การใช้อาวุธสารพัดชิด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาวุธได้ก็ตาม สามารถขว้างให้พุ่งเข้าใส่เทพบาลเดอร์ ซึ่งเป็นเทพแห่งความดีงามได้ เนื่องจากว่า เมื่อสมัยครั้นเยาว์วัย เทพบาลเดอร์ได้รับคำมั่นสัญญาจากทุกชีวิตบนโลกว่าจะไม่ทำอันตรายแก่พระองค์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำร้ายพระองค์ได้ 

แต่ว่าโลกิผู้ที่มีความเจ็บแค้นกับเหล่าเทพอยู่ สืบทราบมาว่าต้นมิสโซโทลนั้นไม่ได้ให้คำสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเทพบาลเดอร์ จึงทำให้ต้นมิสโซโทลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถทำร้ายเทพบาลเดอร์ได้ โลกิวางแผนหลอกล่อให้เทพแห่งความมืด หรือเทพฮอดผู้ที่มีพระเนตรบอดใช้กิ่งมิสโซโทลเป็นอาวุธในการขว้างพุ่งเข้าใส่เทพบาลเดอร์ จนทำให้เทพบาลเดอร์สิ้นพระชนม์จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่วันสิ้นโลก หรือว่าสงครามวันสิ้นโลกเรคนาร้อก

อาถรรพวนศกรท 13 ทมาของความเชอ

บางคนก็เชื่อว่าวันศุกร์ที่ 13 นั้นมีความอาถรรพ์จริง วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม  ค.ศ. 1307 กษัตริย์ฟิลิป ที่ 4 ของฝรั่งเศส ได้จับกุม ฌาคส์ เดอ มาเลย์ หัวหน้าอัศวินเทมพลาร์ และอัศวินอาวุโสของเขาทั้ง 60 คน ในฐานะเป็นพวกนอกรีต ซึ่งความจริงแล้วพวกเทมพลาร์นั้นรวยมาก มีทรัพย์สินมากมายมหาศาล ว่ากันว่ากษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 ไปยืมเงินจากพวกเทมพลาร์ไปทำสงครามแล้วไม่ยอมใช้คืน พระองค์บังคับให้เขาและพวกยอมรับว่าเป็นพวกนอกรีต พ่อมด หมอผี แต่ฌาคส์ เดอ มาเลย์ ก็ให้การปฏิเสธ เลยถูกจับเผาไฟให้ตายทั้งเป็นบนเกาะอิล เดอ ลา ซิเต้ กลางแม่น้ำแซนในกรุงปารีส ก่อนตายฌาคส์ เดอ มาเลย์ ประกาศก่อนตายว่า พระเจ้ารู้ว่าใครทำผิดและได้ทำบาป และขอให้หายนะตกแก่คนผู้ที่ประนามเราให้ถึงแก่ความตาย หนึ่งเดือนต่อมา โป๊ปเคล่ม๊องค์ ซึ่งเป็นญาติของกษัตริย์ฟิลิป ที่ 4 ก็ถึงแก่ความตาย ส่วนกษัตริย์ ฟิลิปที่ 4 นั้นทรงสิ้นพระชมม์จากอุบัติเหตุในการล่าสัตว์ในปีเดียวกัน 

จากตำนานที่กล่าวมาข้างบนนั้น ก็เป็นเรื่องราวของความเชื่อของแถบประเทศยุโรปที่เชื่อกันว่าวันศุกร์ที่ 13 นั้นเป็นวันที่มีอาถรรพ์ อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงตำนานและความเชื่อ ควรใช้วิจารณาญในการอ่านด้วยนะคะ

ขอบคุณที่มา : YouTube.com  ช่อง Assavarak Channel และ heavy.com