ความเป็นมาของ ลิปสติก กับบางเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้

ความเปนมาของ ลปสตก กบบางเรองทคณอาจจะยงไมร

ความเป็นมาของ ลิปสติก กับบางเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้

ลิปสติก เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่สาวๆทุกคนต้องมีติดไว้ในกระเป๋า ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหยิบขึ้นมาเติมริมฝีปากให้สวยฉ่ำทุกที ประวัติ ความเป็นมาของ ลิปสติก มีที่มาที่ไปอย่างไร ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับลิปสติกที่บางคนอาจจะยังไม่รู้

ประวัติความเป็นมาของลิปสติก 

จากหลักฐานการค้นพบกล่องเครื่องสำอางค์  ซึ่งข้างในนั้นเป็นลิปสติกโฮมเมด ที่เกิดจากการนำอัญมณีมาบดจนเป็นผงละเอียด แทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 5000 ปีที่แล้ว ผู้หญิงในที่ราบลุ่มเมโสโปเตเมียรู้จักการทาปาก  หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอียิปส์ พบว่า บนกระดาษปาปิรุสมีรูปผู้หญิงส่องกระจก และกำลังแต่งแต้มริมฝีปาก ในสมัยก่อนผู้หญิงมองโกเลียเอาขี้ผึ้งและไขมันสัตว์มาทาปากเพื่อป้องกันการแตกแห้ง ในสมัยโบราณผู้หญิงนำผลเบอร์รี่สีแดง มาแต่งแต้มเรียวปากของพวกเธอให้สวยงาม 

egyptian woman painting her lips papyrus

ในยุคกลาง 1500’s การทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูง ผู้หญิงธรรมดาสามัญที่ทาปากสีแดงจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือเป็นโสเภณีที่ทาปากแดงเพื่อยั่วยวนผู้ชาย การทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูงเท่านั้นที่ทำกัน จะเห็นได้รูป พระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ 1 ที่มีผิวสีขาวซีดแต่ทาปากสีแดง เมื่อหมดสมัยของพระนาง ลิปสติกก็โดนแบนจากคริสตจักร ลิปสติกสีแดงก็กลายเป็นสัญญลักษณ์ของหญิงชั้นต่ำ

ในปี ค.ศ. 1770 ลิปสติกเคยเป็นเรื่องราวของแม่มดหมอผี ลิปสติกเปรียบเสมือนยาเสน่ห์  รัฐสภาอังกฤษเคยผ่านกฏหมายให้ผู้ชายยกเลิกการแต่งงานได้ ถ้าเขาเชื่อว่าตัวเองถูกผู้หญิงล่อลวงให้แต่งงาน ด้วยการทาลิปสติก

ช่วงปลายๆของยุค 1800’s ซึ่งตอนนั้นภาพยนต์ยังคงเป็นสีขาวดำ Sears Roebuck เสนอให้นักแสดงทาปากและแก้มให้เข้มขึ้นด้วยปีกแมลงเต่าทองสีแดงบดละเอียด เพื่อที่จะทำให้สีปากตามธรรมชาตินั้นดูโดดเด่นขึ้นบนแผ่นฟิล์มสีขาวดำ

ในปี ค.ศ. 1884 บริษัทเครื่องสำอางค์ที่ชื่อ Guerlain ก็ทำลิปสติกแบบก้อน บรรจุในห่อกระดาษผ้าไหมที่มาพร้อมกับพู่กันสำหรับทาปากออกมา และเป็นครั้งแรกที่มันมีชื่อเรียกว่า “ลิปสติก” จนกระทั่งทศวรรษ ที่ 1915 Maurice levy ได้ทำที่บรรจุลิปสติกแบบโลหะแท่งแรกขึ้นมา ทำให้มีความสะดวกสบายขึ้นในการทาริมฝีปาก ในปีเดียวกันบริษัทชื่อดัง Chanel, Guerlain, Estee Lauder และ Elizabeth Arden ก็เริ่มผลิตลิปสติกออกสู่ตลาด

ความเปนมาของ ลปสตก

ซ้ายมือ : เคียรา ไนท์ลีย์ กับลิปสติกของโคโค่ ชาแนล  ขวามือ : นาตาลี พอร์ตแมน กับลิปสติกสีแดงของดิออร์ในปี 2013 

ในปี 1920 ที่สหรัฐอเมริกาเกือบมีการออกกฏหมายให้ลิปสติก เป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากกลัวว่าจะมีการวางยาพิษในลิปสติกขณะกำลังจุมพิตกัน และระหว่างปี ค.ศ. 1929-1933 เกิดปรากฎการณ์ “Lipstick Effect” ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐอเมริกา มีสินค้าอยู่ตัวเดียวที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ลิปสติก

ในยุค 1940’s ความนิยมลิปสติกเริ่มแพร่กระจายออก เอลิซาเบธเทย์เลอร์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ลิสติกสีแดง และหลายๆคนยังคงจำคำคมของเธอพูดไว้เกียวกับลิปสติคว่า “Pour yourself a drink, put on some lipstick, and pull yourself together.” กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในการขายลิปสติกของบริษัทเครื่องสำอางค์ชื่อดังอย่าง  Maybelline  และ Revlon คือเด็กผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป

ในยุค 1950’s ผลจากกระแสนิยมจากฮอลลีวู้ด ลิปสติกสีแดงเป็นตัวแทนแห่งความเซ็กซี่ มาริลีน มอนโรว์,  ริต้า เฮย์เวิร์ด และเอวา การ์ดเนอร์ ซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าล้วนแต่ทาปากสีแดงเข้ม นับตั้งแต่นั้นมา 98% ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาเริ่มหันมาทาลิปสติกกัน

ปี 1960 และ 1970 เริ่มมีการผลิตลิปสิกสีอื่นๆออกมา สีแดงจึงเป็นแค่อีกหนึ่งตัวเลือกหนึ่งเท่านั้น  และในปี 1980 และ 1990 ลิปสติกสีแดงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อบริษัทผลิตเครื่องสำอางค์ยักษ์ใหญ่อย่าง Mac เปิดตัวลิปสติกตัวแรกออกมา แน่นอนมันเป็นสีแดง โดยมีร็อคเกอร์สาวมาดอนน่าทาลิปสติกตัวนี้ขึ้นเวิลด์ทัวร์ คอนเสิร์ต ในปี 1987 และลิปสติกสีแดงของแมคตัวนี้ก็ได้รับความนิยมจนขึ้นแท่นเป็นลิปสติกที่ขายดีแบบสุดๆ และยังคงได้รับความนิยมแม้เวลาจะผ่านไปนาน 20 กว่าปี 

เทยเลอร สวฟ เอมมา สโตน หรอ เกวน สเตฟาน

ในปัจจุบัน ลิปสติกสีแดงกลายเป็นลายเซนต์ของเหล่าคนดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เทย์เลอร์ สวิฟ, เอ็มม่า สโตน หรือ เกว็น สเตฟานี่ 

 

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ลิปสติก

ที่มหาวิทยาลัย แมนเชสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า ขนาดของริมฝีปากของผู้หญิงมีผลในการดึงดูดใจเพศตรงกันข้าม และที่สำคัญที่สุดคือ “สีของลิปสติก” ผลจากการศึกษาการเคลื่อนไหวของสายตาผู้ชายทั้ง 50 คน พบว่าพวกเขาใช้เวลาเพียง 2.2 วินาทีในการมองริมฝีปากที่ไม่มีการทาลิปติก ใช้เวลนาน 6.7 วินาทีในการมองริมฝีปากสีชมพู และพวกเขาใช้เวลานานถึง 7.3 วินาทีในการมองริมฝีปากสีแดง 

นับได้ว่าลิปสติกกับผู้หญิงเป็นของที่อยู่คู่กันในทุกยุคทุกสมัย ในทุกๆปี ทั่วโลกจะมีการผลิตลิปสติกออกมาสู่ตลาดประมาณ 800-900 ล้านชิ้น ประมาณ 300 ล้านชิ้นถูกขายในยุโรปเพียงที่เดียว สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่ลิปสติกจะถูกทิ้งไปก่อนที่จะใช้หมดจนหมดแท่ง และ 30% ของลิปสติกที่ใช้แต้มบนเรียวปาก จะถูกสาวๆกลืนมันลงไปในท้อง ที่หลือก็ติดอยู่ตามแก้ว ถ้วยกาแฟ หรือหลุดหายไปในขณะที่ล้างหน้า